ตำนานเล่าว่า ก่อนพื้นที่บริเวณนี้จะถูกสร้างเป็นวัดนั้นมี คุรุรินโปเซ (Guru Rinpoche) ซึ่งสามารถจำแลงกายเป็นเสือได้มาอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ครั้นจะเทศนาสั่งสอนผู้คนท่านจะกลายร่างเป็นมนุษย์เช่นเดิม และเมื่อคำสอนได้ผลผู้คนต่างพากันเสื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงทำให้สถานที่นี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาจึงได้มีการสร้างวิหารขึ้นเพื่อแสดงถึงความนิยมด้านพระพุทธศาสนา และเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานทำให้ตัววิหารชำรุดทรุดโทรม จนท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 1962 จึงมีการสร้างวัดทักซังหรือวัดรังเสือขึ้นมา และได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1998 จากเหตุเพลิงไหม้ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สมบัติล้ำค่าทางพระพุทธศาสนาและทางประวัติศาสตร์ได้มอดไหม้ไปด้วย
จุดที่1: จุดขึ้นม้า
ตรงจุดนี้ลูกค้าต้องเลือกว่าจะขึ้นม้าหรือไม่ขึ้น เราแนะนำว่าช่วงฝนตกอย่าขึ้นม้า สำหรับคนภูฏานที่นี่ถือว่าเหมือนเป็นสถานที่ๆศักดิ์สิทธิ์มากๆฉนั้นคนภูฏานจะไม่ขึ้นม้าเพราะว่าเค้าไม่อยากไปเบียดเบียนม้า แต่ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าเราแข็งแรงพอหรือไม่
เดินขึ้นช่วงที่1 หรือขึ้นม้า
หลังจากจุดขึ้นมาเราจะเดินหรือนั่งม้าขึ้นไปบนเขา เป็นระยะครึ่งทางของการเดินทางขึ้นไปยังทักซัง ซึ่งม้าจะหยุดอยู่ที่คาเฟ่บนเขา ข้อดีของคนที่ไม่ขึ้นม้าคือสามารถถ่ายรุปได้ตลอดทาง เดินๆหยุดๆไปตลอดทาง ท่านจะได้วิวช่วงเช้าซึ่งจะถ่ายรูปสวย สำหรับคนนั่งม้านั้นจะไม่ให้ถ่ายรูปขณะอยู่บนหลังม้า
คำแนะนำสำหรับคนที่ขึ้นม้า: ถ้าม้ากำลังขึ้นทางชันต้องช่วยเค้าหน่อยโดยการเอนตัวไปด้านหน้า ถ้าม้าลงทางชันให้เอนตัวถอยหลังช่วยเค้าแทน
คำแนะนำสำหรับคนไม่ได้ขึ้นม้า: เราแนะนำให้เดินไปทางลัดเพราะจะประหยัดเวลากว่าเดินเส้นทางเดียวกับม้า ซึ่งหน้าฝนจะเละมากๆ ปลอยภัยไม่ได้ชันมากมาย แต่เหนื่ยน้อยกว่าแน่นอน ถ้าอยากเดินทางโดยไม่เหนื่อยมากให้เดินช้าๆไม่ต้องรีบ
เดินขึ้นช่วงที่ 2
เดินขึ้นช่วงที่สองจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ไปถึงยอดที่อยู่ในระดับที่เสมอกับวัดทักซังพอดี
ช่วงสุดท้าย
ช่วงนี้จะเป็นบันไดซึ่งจะมีราวเหล็กกั้น