เส้นทาง trekking in Nepal

13 สิ่งควรรู้เกี่ยวกับ Trekking in Nepal – หากคุณยังไม่เคยลองซักครั้ง

เนปาลเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของเหล่า Trekker จากทั่วทุกมุมโลกและเป็นอีกหนึ่ง Bucket List ของใครหลายๆคนที่หวังจะมีโอกาศมาสัมผัสความยิ่งใหญ่ของหลังคาโลกอย่างเทือกเขาหิมาลัย เส้นทางเทรคในเนปาลมีหลากหลายที่ได้รับความนิยม โดยเส้นทางหลักที่คนไทยรู้จักกันคือ EBC, ABC, Ghorepani Poon Hill, และเส้นทาง Langtang Valley นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเส้นทางเทรคน่าสนใจและสวยงามไม่แพ้กัน เช่น Annapurna Circuit, Upper Mustang, Dhaulagiri

 13 สิ่งควรรู้เกี่ยวกับ Trekking in Nepal หากคุณยังไม่เคยลองซักครั้ง

1. เทรคเนปาลคือ 1 ในเส้นทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจุดหนึ่งในโลก มีเส้นทางให้เลือกหลากหลายตั้งเส้นทางสำหรับผู้เริ่มต้นอย่าง Astam Trek (2 วัน) ไปจนถึง EBC 3 passes ที่ต้องใช้เวลากว่า 20 วัน 

2. การมาเทรคกิ้งที่เนปาลไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด คุณไม่จำเป็นต้องมีร่างกายกำยำล้ำเลิศเหมือนพี่บัวขาว ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ จะเป็นหญิงหรือชาย ขอแค่คุณมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วงก่อนเดินทาง ก็สามารถมาพิชิตยอดเขาหิมาลัยด้วยกันได้แล้ว

3. เนปาลเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันหลากหลาย ทั้งป่า เขา ภูเขาหิน ภูเขาน้ำแข็ง เขตแห้งแล้งทะเลทราย การมาเยือนเนปาลเพื่อเทรคจึงเป็นอีกเหตุผลที่คุณจะมีโอกาสชื่นชมงานสรรค์สร้างของธรรมชาติที่ทำให้เราเหลือตัวเล็กนิดเดียว

4. เส้นทางเทรคผ่านไปตามหมู่บ้าน ไร่นา ทิวเขา ภูเขาหิมะ คุณจะพบเห็นชาวบ้านยืนส่งยิ้มน่ารักๆ และชมวิถีชีวิตคนพื้นที่สูงว่าเขาอยู่กินกันยังไง และในบางเส้นทางคุณมีโอกาสจะพบกับตัว Yak สัตว์ท้องถิ่นที่พบเจอได้แค่เพียงไม่กี่แห่งบนโลก

5. ชาวบ้านตลอดเส้นทางเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก การมาเยือนเนปาล นอกจากจะเพื่อเอาชนะใจตัวเองได้แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้จากการท่องเที่ยว

6. การมาเทรคกิ้งที่เนปาลไม่ต้องนอนเต๊นท์ ที่พักตามเส้นทางเป็นเกสเฮ้าส์ของชาวบ้านที่เปิดห้องพักให้นักท่องเที่ยวได้เข้าพัก ถึงแม้จะไม่สะดวกสบายมาก แต่เป็นที่ที่คุณจะอบอุ่นใจกับมิตรภาพแน่นอน

7. อาหารระหว่างเส้นทางเทรคมีทั้งอาหารท้องถิ่นและอาหารนานาชาติทั้งข้าวผัด หมี่ผัด พิซซา สปาเกตตี้ ไข่เจียว ไข่ต้ม แต่มาถึงที่ทั้งทีการลิ้มลองอาหารท้องถิ่นก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

8. ห้องน้ำระหว่างเทรคไม่แย่เลยขอบอก ห้องน้ำจะมีทั้งแบบชักโครกและแบบนั่งยอง มาตรฐานระดับห้องน้ำปั๊มต่างจังหวัดบ้านเรา

9. ยิ่งเดินสูงยิ่งหนาว อากาศที่เหมาะสมในการไปเทรคคือช่วงเดือน มีนาคมถึงต้นพฤษภาคม และช่วงปลายกันยายนถึงต้นพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีและเหมาะสมที่สุด

10. การเดินเทรคในเส้นทางธรรมชาติเราจะเห็นท้องฟ้า ผืนดินอย่างเต็มที่ ไม่มีวิวสิ่งปลูกสร้างอะไรมากีดขวาง ตกกลางคืนจะเห็นดาวบนฟ้าอย่างชัดเจนและสวยงามไม่แพ้ทางช้างเผือกที่ขั้วโลก

11. การเดินเทรคคือการเข้าไปสู่โลกอีกใบ เลือกที่จะหนีความวุ่นวายชั่วคราวมาอยู่กับธรรมชาติ เห็นโลกที่แตกต่าง ชีวิตที่แตกต่าง จนทำให้เรารู้สึกว่าความสุขก็อยู่รอบตัวเรานี้เอง

12. หลายสิ่ง “ที่สุดในโลก” อยู่ที่เนปาล ตั้งแต่ยอดเขาเอเวอเรสต์ที่เรียกว่าเป็นหลังคาโลก และทะเลสาบน้ำจืดที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Gokyo lake

13. การเดินเทรคในเนปาลต้องใช้ความพร้อมทั้งกายและใจ ถ้าคุณยังแข็งแรงและใจเต็มร้อยแนะนำให้มาสักครั้งในชีวิต

เส้นทางเทรคยอดนิยมในเนปาลหลักๆมี 4 เส้นทาง

Everest Base Camp Trek– ที่สุดของที่สุดสำหรับเส้นทางเทรคในเนปาล Everest Base Camp เส้นทางนี้จะนำท่านไปยังเบสแคมป์สำหรับผู้ที่จะเดินทางมาปีนเขาหิมาลัย ยอดเขาที่สูงและสวยติดอันดับโลก ด้วยเส้นทางที่น่าทึ่งและความลงตัวของบรรยากาศรอคุณมาสัมผัส ถ้ากายพร้อมใจพร้อม นี่เป็นที่ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตไม่ควรพลาด

เอวเวอเรส เบสแค้ม

Annapurna Base Camp Trek– เทรคยอดนิยมของคนไทย เส้นทางในดวงใจของใครหลายๆคน เส้นทาง ABC นี้จะผ่านทั้งหมู่บ้าน ป่าเขา น้ำตก น้ำพุร้อนที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง เรียกได้ว่าวิวหลักล้านที่แท้จริง ระหว่างทางนักท่องเที่ยวยังจะพบชาวบ้านยิ้มแย้มต้อนรับอย่างเป็นมิตรและรอการเดินทางมาเยือน

อันนาปูรณา เบสแค้ม

Langtang Trek– เดินเทรคสู่หมู่บ้านลังตัง (Langtang Valley) อีกหนึ่งเส้นทางที่น่าสนใจและมาแรงมากในหมู่นักเดินทาง ด้วยเส้นทางที่อยู่ไกล้กับทิเบตเราจึงจะเห็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันออกไปกับเส้นทางอื่นๆข้างต้น ผ่านป่า น้ำตก ไร่นา หมู่บ้าน ที่ถูกจัดสรรอย่างสวยงาม อีกทั้งระหว่างทางจะสามารถพบเห็นตัว Yak สัตว์ท้องถิ่นที่จะสามารถพบเห็นได้เพียงไม่กี่แห่งบนโลก

ลางถัง แทรกกิ้ง

Ghorepani Poon Hill Trek– เส้นทางเทรคธรรมชาติที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเส้นทางหนึ่ง เทรคเส้นนี้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากมีโอกาสสัมผัสความงดงามของธรรมชาติ จุดชมวิวบนพูนฮิลด้วยวิว 360 องศาที่จะทำให้คุณประทับใจแบบไม่รู้ลืม

พูนฮิลล์ เนปาล

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเส้นทางเทรคน่าสนใจและสวยงามไม่แพ้กัน เช่น Annapurna circit, Upper Mustang, Dhaulagir

อันนาปูรณา เทรกกิ้ง

Annapurna Circuit เปิดให้นักท่องเที่ยวสายลุยมาสัมผัสความยิ่งใหญ่ครั้งแรกในปี 1977 เส้นอันนาปูรณะเซอคิสถูกจัดเป็นหนึ่งเส้นทางที่น่าทึ่งที่สุดในโลกจากความยิ่งใหญ่ของการสร้างสรรค์จากธรรมชาติ  เส้นทางเทรค Annapurna Circuit เหมาะสำหรับผู้เดินทางสายลุยที่มีเวลาตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป (สามารถปรับเวลาลดลงได้หากใช้การเดินทางด้วยรถหรือเครื่องบิน)  โดยหากให้เดินครบสมบูรณ์ทั้งเส้นเทรคเส้นนี้จะใช้เวลาเกือบสามสัปดาห์ ผ่านไปยังจุดไฮท์ไลท์สำคัญๆ ทั้งด้านภูมิศาสตร์และทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย โดยเริ่มต้นจากทางฝั่งตะวันตกของเส้นเทือกเขาอันนาปูรณะ ไกล้ๆกับหมู่บ้าน Besi Sahar เส้นทางผ่านไปตามผืนดินเขียวชอุ่มสลับแนวเขาและหมู่บ้านตามเส้นทาง  จุดสูงสุดของเส้นทางเทรคนี้อยู่ที่ Thorong La Pass ณ ความสูงที่ 5414 เมตร  ตลอดเส้นทางนี้ผู้เดินทางจะพบสภาพภูมิประเทศที่หลากหลายเช่นที่ราบสูง ป่าธรรมชาติ สลับแนวแนวเขาบนที่ราบสูงทิเบตหรือ Tibetan Plateau 

Highlights สำคัญในเส้นทาง Annapurna Circuit

หมู่บ้าน Marpha – White Apple Village

หมู่บ้าน Marpha ขี้นชื่อเรื่องสวนแอปเปิ้ลที่เป็นธุรกิจสำคัญในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยอากาศที่เย็นสบาย ทำให้มากกว่า 80 เปอร์เซนของ Marpha เป็นพื้นที่เกษตรกรรมปลูกแอปเปิ้ล และกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ มีการแปรรูปเป็นสินค้าหลากหลาย ตัวหมู่บ้านก็นิยมทาสีขาวตัดกับสีเขียวของพื้นที่ปลูกแอปเปิ้ลจึงถูกเรียกว่า white apple village

Mukthinath แหล่งพหุวัฒนธรรมแห่งหิมาลายา

Mukthinath เป็นอีกหนึ่งจุดหมายสำคัญของเหล่านักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเขต Annapurna วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้สะท้อนความศรัทธาในศาสนาได้ดีทีเดียว เห็นได้จากสถาปัตยกรรมรูปแบบฮินดูและพุทธศาสนาที่มีสีสันสดใสตัดกับวิวของภูเขาหิมะ

Kali Gandaki – The Deepest Gorge in the world

Gandaki เป็นแม่น้ำสายหลักในเขต Annapurna แม่น้ำลากผ่านภูเขาจากทางเหนือผ่านไปทางตะวันตกและไหลออกไปทางใต้ แม่น้ำสายนี้มีไฮท์ไลท์สำคัญอยู่ตรงจุดที่เรียกว่า Kali Gandaki Gorge หรือ Andha Galchi ซึ่งถูกสันนิษฐานว่าเป็นจุดหนึ่งที่ลึกที่สุดในโลกหากนับจากยอดเขา Annapurna ลูกที่ 1 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อสันนิษฐานนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่

Thorong La Pass- The Highest point on the Annapurna circuit

จุดสูงสุดของเส้นทางเทรค Annapurna Circuit อยู่ที่ Thorong La Pass ณ ความสูง 5,416 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  (17,769 ft) จุดนี้อยู่ระหว่างหมู่บ้าน Manang และ Mukthinath ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่ท้าทายความสามารถของ trekker เนื่องจากความสูงและสภาพอากาศ ดังนั้นจึงควรเตรียมความพร้อมให้ร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถพิชิตความท้าทายตรงนี้ให้ได้

นอกจากจุดไฮท์ไลท์ทั้งสี่ที่ในเส้นทาง Annapurna Circuit ที่สวยงามและอลังการนี้แล้ว ตลอดเส้นทางตั้งแต่จุดเริ่มต้นหมู่บ้าน Besi Sahar บ่อน้ำร้อนที่หมู่บ้าน Tatopani จนถึงจุดหมายปลาทางยังจะได้พบกับความงดงามของธรรมชาติสองข้างทาง วิถีชีวิตอันเรียบง่าย สถานที่อันสุดประทับใจ ผู้คนท้องถิ่นอันเป็นมิตรและนักท่องเที่ยวผู้มีจุดหมายเดียวกันก็ยิ่งทำให้การมาเทรคเส้น Annapurna Circuit จะเป็นหนึ่งในการเดินทางที่คุณประทับใจแน่นอน

****Altitude Sickness อาการและการป้องกัน***

บทความนี้จะขอกล่าวในรายละเอียดของภาวะ Altitude sickness สักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจในในการป้องกัน และการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการของโรคขึ้น ถ้าใครยังไม่ได้อ่านบทความก่อน

อาการของ High Altitude Sickness

เป็นการกล่าวถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อย ซึ่งประกอบด้วย 3 โรคหลักๆ ซึ่งมีความสัมพันธ์และมีความต่อเนื่องกันอยู่ในบางส่วน คือ

Acute Mountain Sickness (AMS) ยังไม่มีชื่อภาษาไทยครับ เป็นโรคที่มีความรุนแรงไม่มาก เกิดเมื่อมีการเดินทางขึ้นไปที่สูง โดยทั่วไปต้องมากกว่า 2500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งจะมีอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการเด่นของภาวะนี้ อาการอื่นๆที่พบได้บ่อยคือ นอนไม่หลับ เหนื่อย หายใจเร็ว โดยอาการต่างๆเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นหลังจากขึ้นไปที่สูงประมาณ 4-10 ชั่วโมง ที่พบบ่อยคือเกิดขึ้นในคืนแรกที่ขึ้นไปที่สูง โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงมาก และร่างกายจะค่อยๆปรับตัวได้เองภายใน 1-2 วัน

High Altitude Cerebral Edema (HACE) หรือภาวะสมองบวมจากการอยู่ในพื้นที่สูง เป็นภาวะที่เกิดต่อเนื่องจากภาวะ AMS โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน ถ้ามีอาการรุนแรงมากจะมีชัก หมดสติ จนถึงเสียชีวิตได้ ดังนั้นถ้ามีอาการดังกล่าวต้องรีบพบแพทย์ และเดินทางลงสู่ในพื้นที่ต่ำกว่าทันที

High Altitude Pulmonary Edema (HAPE) คือภาวะปอดบวมน้ำจากการอยู่ในพื้นที่สูง เป็นภาวะที่รุนแรงซึ่งอาจเกิดขึ้นเดี่ยวๆ หรือเกิดขึ้นร่วมกับภาวะ HACE ก็ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก อยู่เฉยๆ ก็เหนื่อย ภาวะนี้ทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นถ้าเกิดภาวะดังกล่าวขึ้น ต้องรีบพบแพทย์และเดินทางลงสู่พื้นที่ต่ำกว่าทันที

หลักการทั่วไปในการป้องกันภาวะ Altitude Sickness

1. ต้องศึกษาข้อมูลถึงสถานที่ที่จะไปก่อนการเดินทางครับว่า สถานที่ที่จะไปอยู่ในพื้นที่สูงมากหรือไม่ เช่น ถ้าจะไปเที่ยวทิเบต ภูฏาน เนปาล เปรู โบลิเวีย ประเทศเหล่านี้มักมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในพื้นที่สูงอยู่มาก ควรหาข้อมูลถึงระดับความสูง และดูแผนการเดินทางของเราเสมอ ว่าจะต้องผ่านในพื้นที่สูงมากหรือไม่ เช่น

  • ถ้าจะไปเที่ยวเนปาล ไปแค่เมืองหลวงกาฐมัณฑุ (1400 m) โปขระ (827 m) นาการ์ก็อต (2195 m) มักจะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะอยู่ไม่อยู่มาก แต่ถ้าจะไป trekking ที่ Annapura circuit ที่ Poon Hill (3210m) หรือผ่าน Thorung La (5400m) ต้องเตรียมตัวอย่างดีครับ

  • การไปเที่ยวขึ้นยอดเขาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เช่น Pilatus (2132m) Titlis (3028m) หรือ Jungfrau (3571 m) มักจะไม่มีปัญหา high altitude sickness เนื่องจากเราจะนั่ง cable หรือรถไฟขึ้นไป และอยู่บนยอดเขาไม่นาน และลงมาสู่ที่ต่ำกว่าเวลาไม่กี่ชม. ร่างกายมักจะทนได้

  • ถ้าจะไปเที่ยวเปรู ไปมาชุปิชู (Machu Picchu) อย่างไรก็ต้องไปเมือง Cusco (3399 m) ซึ่งมักจะนั่งเครื่องบินไปจากเมืองลิมา (ระดับน้ำทะเล) นักท่องเที่ยวมักจะมีอาการ altitude sickness ในช่วง 1-2 วันแรกที่ Cusco เพราะร่างกายยังปรับตัวไม่ทัน แต่พอพ้นช่วงแรกแล้ว และไปเที่ยว มาชูปิชู (2430 m) มักจะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะอยู่ที่ระดับความสูงต่ำกว่า Cusco อีก

  • ถ้าจะไปประเทศจีน บางเมืองจะอยู่ในที่สูง ต้องศึกษาก่อนเสมอ เช่นไป ลี่เจียง (2400 m) ภูเขามังหยก (3356 m) ทิเบต (3490m) ควรต้องเตรียมตัว

  • ถ้าจะไปเที่ยวเลห์ ลาดักห์ บริเวณดังกล่าวอยู่ในเขตอินเดียตอนเหนือ เป็นพื้นที่สูง ตัวเมืองเลห์เองอยู่สูงประมาณ 3500 m เหนือระดับน้ำทะเล นอกจากนี้นักท่องเที่ยวมักจะไปเที่ยวที่ต่างๆด้วย ไม่ว่าจะเป็น Pungong lake (4350m) และต้องเดินทางผ่านช่องเขา Changla Pass (5360m) ควรจะต้องเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวเสมอ

2. ร่างกายต้องการเวลาปรับตัว (Acclimatization)ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรเลือกแผนการเดินทางที่ไม่ขึ้นสู่ที่สูงเร็วเกินไป ควรพักที่เมืองที่อยู่ต่ำกว่า 1-2 วันเพื่อปรับตัว

3. ถ้าจำเป็นต้องเดินทางขึ้นสู่ที่สูงอย่างรวดเร็ว เช่น นั่งเครื่องบินจากลิมาไปคุซโก (3399 m) นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่ง (ประมาณ 20-25%) มักจะมีอาการ ดังนั้นในช่วงแรกๆที่ขึ้นไปที่สูง ควรงดการออกกำลัง เดิน หรือวิ่ง ควรพักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำบ่อยๆ และสังเกตอาการของตัวเองว่ามีความผิดปกติใดๆหรือไม่ ถ้ามีอาการของ AMS เพียงเล็กน้อย เช่นปวดศีรษะ คลื่นไส้ นอนไม่หลับ ร่างกายค่อยๆปรับตัวได้ และอาการจะหายไปเองใน 1-2 วันแต่ถ้ามีอาการรุนแรงมากขึ้น ควรพบแพทย์ และเดินทางสู่ที่ต่ำกว่าทันที

4. การใช้ยาเพื่อป้องกัน altitude sickness เช่น Acetazolamide (diamox) ในนักท่องเที่ยวบางรายมีความจำเป็น เพราะยาจะช่วยป้องกันและลดบรรเทาอาการได้ แต่การใช้ยาควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะแพทย์ต้องพิจารณาแผนการเดินทาง ข้อบ่งชี้ ข้อห้ามในการใช้ยา และแนะนำการใช้ยาที่ถูกต้อง

5. ในนักท่องเที่ยวที่ปีนเขา หรือ Trekking ในที่สูง ต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำในพื้นที่อย่างเคร่งครัด ไม่ควรรีบเดินหรือทำเวลาก่อนเวลาที่แนะนำไว้โดยทั่วไป เช่นถ้าจะปีนยอดเขาคีรีมันจาโร (5895m) ควรมีการเตรียมทีม เตรียมอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ต่างๆที่จำเป็น และควรเดินทางตามที่กำหนดไว้ ไม่ควรจะรีบปีนโดยใช้เวลาน้อยกว่า 5 วัน เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะปีนไปไม่ถึง และเกิดการไม่สบายกลางทาง

6. ถ้ามีอาการแพ้ความสูงเกิดขึ้น ควรระมัดระวัง และสังเกตุอาการตนเองและเพื่อนร่วมทางเสมอ ถ้ามีอาการไม่มาก เช่น ปวดศีรษะ มึนศีรษะ อ่อนเพลีย ควรพัก ถ้าเป็นแค่ Acute mountain sickness ร่างกายจะค่อยๆปรับตัวได้เอง แต่ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น เหนื่อยมาก ไอ สับสน ปวดศีรษะ มึนงงมาก ต้องรีบลงสู่พื้นที่ที่ต่ำกว่า และหาสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที

***************************************************

thepudomdham brand logo
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า Trustmarkthai
© 2025 เทพอุดมธรรม ทราเวล
TAT LICENSE