ตามรอยพุทธศาสนา บูชาพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว ร่วมเดินทางกับเรา รับจัดตั้งแต่ 16 คน ขึ้นไป หรือ เป็นครอบครัว กรุ๊ปครูบาอาจารย์ กรุ๊ปเล็ก กรุ๊ปใหญ่ กรุ๊ปส่วนตัว
เรามีรถตู้ รถมินิบัสไว้บริการกับท่านอย่างสะดวกสบาย แล้วท่านจะประทับใจมิรู้ลืม
ทริป ไหว้พระศรีลังกา : อนุราธปุระ โปโลนนารุวะ สิกิริยา วัดถ้ำดำมบุลล่า อลุวิหาร กราบพระธาตุเขี้ยแก้วที่เมืองแคนดี้ ขึ้นไปสัมผัสบรรยากาศเมืองแแห่งไร่ชาที่ นูวาร่าเอลิยา ด้วยอุณหูมิ 17 องศาทั้งปี โคลัมโบ วัดเกลาณียา วัดคงคาราม ทริป 5 คืน 7 วัน สุดคุ้ม
รุวันเวลิสยาเจดีย์
ถูปาราม เจดีย์แห่งแรกในเกาะลังกา
มะหินตะเล สถานที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกในศรีลังกา โดยพระมหินทรเถระ
พระเขี้ยวแก้วศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 2 องค์ที่ประดิษฐานอยู่ในโลกมนุษย์
ตามรอยพระพุทธศาสนาแห่งกรุงลังกา สัมผัสอารยธรรมงดงามด้านวัฒนธรรมและศาสนา ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ต้นพระศรีมหาโพธิ์เก่าแก่ที่สุดของโลก อายุกว่า 2,300 ปี เมืองอนุราธปุระ เมืองหลวงแห่งแรกของศรีลังกา
โลหะปราสาท 1 ใน 3 แห่ง ของโลก สร้างประมาณปี พ.ศ. 382 โดยพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย ได้นำแบบโลหะปราสาทของนางวิสาขามาก่อสร้าง
รุวันเวลิสยา
เจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุด เมืองอนุราธปุระ หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ด้วย พระมหาเจดีย์นี้เองเมื่อถึงคราวสิ้นพระศาสนา พระบรมสารีริกธาตุจากที่ต่างๆจะมารวมตัวกันที่พระมหาเจดีย์นี้และท้ายสุดไปรวมกันที่โพธิบัลลังค์พุทธคยา ปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าอีกครั้งแสดงธรรม 7 วันสุดท้ายก่อนสิ้นยุคพระศาสนา
สิคีริยา มีประวัติความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่พุทธปรินิพพานได้ 277 ปี พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ได้เสด็จประพาสและตั้งชื่อภูเขาแห่งนี้ว่าสีหคีรี ซึ่งแปลว่า เขาสิงห์ ต่อมาใน พ.ศ.440-454 พระเจ้าปุลหัตถะได้สร้างป้อมพร้อมศาลาโรงธรรมไว้ที่นี่ ในรัชสมัยของพระเจ้าพาหิยะได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดาโดยการสร้างโรงทานสำหรับพระภิกษุ จนมาถึงในรัชสมัยพระเจ้ากัสสปะ พ.ศ.1020 ได้ทรงสร้างสีหคีรีนี้เป็นป้อมปราการและเป็นพระบรมมหาราชวังด้วย
การที่จะสร้างให้สิคีริยา เป็นราชธานนี้ มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าธาตุเสน ราชธานีของพระองค์อยู่ที่อนุราชปุระ พระองค์มีพระราชประสงค์จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีอำนาจทั้งฟ้าและดิน จึงต้องหาที่สร้างวังบนยอดเขา ต่อมาเจ้าชายกัสสปะพระราชโอรสผู้ประสูติจากมเหสีฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ได้ยึดอำนาจการปกครองจากพระเจ้าธาตุเสน ทำให้เจ้าชายโมคคัลลาน์ รัชทายาทซึ่งประสูติจากสมเด็จพระราชินีต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอินเดีย
โบราณสถานอันยิ่งใหญ่นี้ ได้รับการยกย่องว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
• ในปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก (Word Heritage) อีกแห่งหนึ่งในศรีลังกา ในปี 2525 พร้อมกับเมืองอนุราชปุระและโปโลนนารุวะ
• พระเจ้ากัสสปะกษัตริย์แห่งอนุราชปุระทรงมีชื่อเสียงในความเป็นศิลปิน ทรงสร้างสีคิริยะขึ้นบนก้อนหิน ที่เชื่อกันว่าเป็นที่สิงสถิตของ “คูเวรา” เทพเจ้าแห่งความมั่นคง
กราบนมัสการ พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว (The Sacred Tooth Relic of the Buddha) ซึ่งเป็นพระทันตธาตุเบื้องซ้ายของของพระพุทธเจ้า เป็นเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์ โดยมีหลักฐานรองรับความถูกต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศา นับเป็นสิ่งสักสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่โบราณ และเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวศรีลังกา พระธาตุเขี้ยวแก้วนี้ได้ถูกบรรจุอยู่ในเจดีย์ทองคำ และผอบทองคำ 7 ชั้น ประดิษฐานในห้องกระจกกันกระสุนอย่างแน่นหนา และไม่เคยเสด็จออกนอกประเทศเลยนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 9 โดยปกติแล้วผู้ที่มาบูชาพระเขี้ยวแก้วจะถวายดอกไม้และบูชาอยู่เพียงชั้นนอกเท่านั้น
นูวารา เอลิย่า ตั้งอยู่ในภาคกลางของศรีลังกา มีความหมายว่าเมืองแห่งแสง เมืองนี้ถูกค้นพบโดยชาวอังกฤษเมื่อเกือบสองร้อยปีก่อน ภูมิอากาศของที่เย็นสบายตลอดทั้งปี ขนาดเราไปในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิเช้ายังอยู่ที่ 14 องศา และกลางวันประมาณ 18 องศาค่ะ และที่สำคัญเมืองนี้ฝนตกปรอยๆอยู่ตลอด คล้ายกับประเทศอังกฤษจริงๆ เลยทำให้ในช่วงที่อังกฤษปกครองศรีลังกา คนอังกฤษเลยมาสร้างบ้านพักตากอากาศ และพัฒนานูวารา เอลิย่า จนทำให้หลายมุมของเมืองมีความคล้ายกับประเทศอังกฤษ เลยได้ชื่อว่าเป็น Little England แห่งศรีลังกา
วัดเกลาณียะราชมหาวิหาร (Kelaniya Raja Maha Viharaya) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโคลัมโบประมาณ 13 กิโลเมตรทางทิศเหนือ วัดแห่งนี้มีความสำคัญต่อชาวพุทธศรีลังกาเพราะเชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ที่เป็นสาวกอีก 500 รูปได้เคยเสด็จมายังวัดแห่งนี้ในวันวิสาขบูชาตามคำเชิญของเจ้าผู้ครองแคว้น กัลยาณี ซึ่งเป็นพญานาค นามว่า มณีอัคขิกะ (King Maniakkhika) ซึ่งปัจจุบัน ในบริเวณวัดมีพระเจดีย์ทรงระฆังคว่ำสีขาวผุดผ่องขนาดมหึมาซึ่งชาวพุทธศรี ลังกาเชื่อว่าเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระแท่นบัลลังค์ที่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าประทับเมื่อคราวมาโปรดพญานาคมณีอัคขิกะและบริวาร
ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกช่วงประมาณปี พ.ศ. 300 โดยกษัตริย์ยัฎฐาลาติสสะ (King Yathalatissa) และได้เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในรัชสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ 6 (King Parakramabahu VI) แห่งราชอาณาจักรโกฏเฏ (Kingdom of Kotte) ซึ่งโปรดให้สร้างวัดแห่งนี้ให้เป็นวัดที่ยิ่งใหญ่ มีสิ่งปลูกสร้างมากมาย มีพระสงฆ์พำนักนับร้อย จนกลายเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่สำคัญ และได้ถูกบรรยายว่าวัดแห่งนี้งดงามราวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2048 วัดได้ถูกผู้รุกรานชาวโปรตุเกสเผาทำลายลงจนสิ้นซาก
ต่อมากษัตริย์กีรติศรีราชสิงหะ (King Kirthi Sri Rajasinghe) ซึ่งปกครองราชอาณาจักรแคนดี้ (Kingdom of Kandy) ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2290 - 2325 ได้ทำข้อตกลงกับผู้ปกครองลังกาในยุคนั้น คือ ฮอลันดา ให้สามารถส่งพระสงฆ์เข้าไปบูรณะวัดได้ ดังนั้น เมื่อปี 2310 ได้โปรดให้พระมปิฏิกามะ พุทธรักขิตตะเถระ (Venerable Mapitigama Buddharakkhita Thera) พร้อมพระสงฆ์จำนวนหนึ่งเดินทางไปปฏิสังขรณ์วัด แต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายซึ่งส่งผลให้ลังกากลายเป็นอาณานิคมของ อังกฤษใด้ทำให้ภารกิจดังกล่าวต้องชะงักลง
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2431 นางเฮเลนา วิเจวาร์เดนา (Mrs. Helena Wijewardena) เศรษฐีนีแห่งกรุงโคลัมโบได้สนใจและได้อุทิศทรัพย์สินในการบูรณะปฏิสังขรณ์ วัด ดังนั้น สิ่งปลูกสร้างที่พบเห็นในบริเวณวัดในปัจจุบันจึงเป็นผลจากแรงศรัทธาของเธอ และครอบครัวทั้งสิ้น จุดเด่นที่สำคัญของวัดคือพระวิหาร ซึ่งประกอบด้วยพระนอน ห้องประดิษฐานพระสารีริกธาตุ และภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกเล่าเรื่องชาดก พุทธประวัติ และเหตุการณ์สำคัญทางพุทธศาสนาในศรีลังกา ซึ่งภาพเหล่านั้นเป็นผลงานของนายโสริอัส เมนดิส (Solius Mendis) ศิลปินชื่อดังของศรีลังกาที่ได้อุทิศเวลากว่า 20 ปีในการรังสรรค์ภาพจิตรกรรมที่งดงามดังกล่าว
โปรแกรมทัวร์