พระมหินทเถระ พระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนา แก่พระเจ้าเทวานัมปิยะติสสะ ที่เพิ่งเสวยราชสมบัติ เป็นครั้งแรกที่เขา มหินตาเลในปี พ.ศ. 236
ดังความตอนหนึ่งใน พระวินัย ปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ กล่าวไว้ดังนี้
"...เวลานั้น ท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพ เสด็จเข้าไปหาพระมหินทเถระ แล้วได้ตรัสคำนี้ว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ! พระเจ้ามุฏสีวะ สวรรคตแล้ว, บัดนี้ พระเจ้าเทวานัมปิยดิสมหาราชเสวยราชย์แล้ว, และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงพยากรณ์องค์ท่านไว้แล้วว่า ในอนาคต ภิกษุชื่อมหินท์ จักยังชาวเกาะตัมพปัณณิทวีปให้เสื่อมใส ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ! เพราะเหตุดังนั้นแล เป็นกาลสมควรที่ท่านจะไปยังเกาะอันประเสริฐแล้ว แม้กระผม ก็จักร่วมเป็นเพื่อนท่านด้วย..."
ความอีกตอนหนึ่งใน พระวินัย ปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ กล่าวว่า
"...พระเถระรับคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว เป็น ๗ คนทั้งตน เหาะขึ้นไปสู่เวหาจากเวทิสบรรพต แล้วดำรงอยู่บนมิสสกบรรพต ซึ่งชนทั้งหลายในบัดนี้จำกันได้ว่า เจติยบรรพตบ้าง ทางทิศบูรพาแห่งอนุราชบุรี..."
"...พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงได้กล่าวไว้ว่า พระเถระทั้งหลายพักอยู่ที่เวทิสคิรีบรรพตใกล้กรุงราชคฤห์ สิ้น ๓๐ ราตรีได้ดำริว่า เป็นกาลสมควร ที่จะไปยังเกาะอันประเสริฐ, พวกเราจะพากันไปสู่เกาะอันอุดม ดังนี้ แล้วได้เหาะขึ้นจากชมพูทวีปลอยไปในอากาศดุจพญาหงส์บินไปเหนือท้องฟ้าฉะนั้น, พระเถระทั้งหลายเหาะขึ้นไป แล้วอย่างนั้นก็ลงที่ยอดเขาแล้ว ยืนอยู่บนยอดบรรพต ซึ่งงามไปด้วยเมฆ อันตั้งอยู่ข้างหน้าแห่งบุรีอันประเสริฐราวกะว่า หมู่หงส์จับอยู่บนยอดเขาฉะนั้น..."
เมื่อครั้งพระมหินทเถระและคณะได้เดินทางเป็นสมณฑูตเผยแพร่พระพุทธศาสนามาที่เกาะลังกานั้นมีความในอรรถกถาแสดงไว้ว่า เดิมนั้นมีพวกนาค ยักษ์ รากษส พากันอาศัยอยู่ซึ่งมี ก คำว่า นาค ยักษ์ รากษส นั้น น่าจะหมายกลุ่มคนที่อาศัยในที่ต่างๆคือ นาค อยู่ใกล้แม่น้ำ มหาสมุทร ยักษ์คือคนที่ดำรงชีพอยู่ป่าและรากษสคือพวกที่อยู่บนภูเขา เมื่อพุทธศาสนาเผยแพร่ในอินเดียนั้นเกาะลังกายังมีความเชื่อในการนับถือทะเลมหาสมุทร ต้นไม้ ภูเขา ดังนั้นเมื่อพระมหินทเถระ ได้แสดงธรรมครั้งแรกจึงแสดงเปตวัตถุ ชี้ให้เห็นกรรมชั่ว และผลของกรรมชั่วที่ทำให้เกิดเป็นเปรตลักษณะต่างๆ และวิมานวัตถุ อันเป็นผลของกรรมดี ที่ส่งผลให้เกิดเป็นเทพดาในวิมานต่างๆจนทำให้ชาวเกาะลังกาได้บรรลุธรรมคือรู้ความจริงด้วยเหตุผลเป็นอันมาก
ถ้ำสำหรับเป็นที่พักของพระเถระ
วัดมหินทร์ตะเลนี้ตั้งอยู่บนเขาสามารถขึ้นไปสะดวกด้วยมีบันไดหินทอดยาวและต้นลีลาวดี ( ภาษาสิงหลเรียกว่า ต้นอะละริยะ )เรียงรายอยู่สองข้างไปจนถึงลานกว้างที่ตั้งของวัดบนยอดเขาตลอดเส้นทางขึ้นนั้นมีโบราณสถาน พระธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่เป็นระยะถึง ๓ ช่วงเช่น วิหารกรณียเมตตาสูตรที่มีการจารึกอักษรภาษาสิงหลอยู่บนแท่งศิลารอบวิหาร และลานศิลาภาษาพราหมียุคปลายก่อนใช้ภาษาสิงหล สุดทางขึ้นนั้นเป็นลานวัด อันมีอัมพัตถลเจดีย์ตั้งอยู่เดิมนั้นเป็นสถานที่พระมหินทเถระและพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะได้พบกันเป็นครั้งแรก พระเจดีย์องค์นี้บรรจุพระอัฐิธาตุของพระมหินทเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์และเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ออกบวชเป็นสมณฑูตเผยแพร่พระพุทธศาสนามายังทวีปลังกาเมื่อ พ.ศ.๒๙๓หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วมากว่า
พระธาตุเจดีย์ในสภาพแรกพบ
ดังนั้นวัดมหินทร์ตะเลจึงเป็นวัดพุทธศาสนาแห่งแรกและเป็นปูชนียสถานสำคัญอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองสำคัญของไทยเช่นเดียวกับวัดในอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรที่อยู่นอกตัวเมืองหรือเขตอรัญวาสีที่รู้จักกัน บนยอดเขาอีกด้านหนึ่งมีพระเจดีย์ใหญ่สำคัญประดิษฐานพระอุณาโลม (กระดูกหน้าผาก) ของพระพุทธเจ้าตั้งอยู่ ณที่นี้มองเห็นเขามอพระมหินทร์เถระอันเป็นสถานที่พระมหินทเถระและคณะพระสมณทูตจากอินเดียนัยว่าเหาะมาลงบนก้อนหินก้อนนี้ครั้งแรกแล้วจึงลงมาพบกับพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะที่บริเวณอัมพัตถลเจดีย์ด้านล่าง วัดนี้ได้ขุดพบพระบรมสารีริกธาตุขนาดเล็ก ๒ องค์และพระธาตุอัฐของพระมหินทร์เถระและพระเถระอื่นๆ พร้อมด้วยเครื่องทองคำ เป็นพระเจดีย์ พระพุทธรูป ขนาดเล็กและสถูปชั้นนอกทำด้วยหินศาลามีฝาปิด สถานที่แห่งนี้คือจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ที่พระมหินทเถระได้สถาปนาขึ้น พระมหินทร์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราชและพระนางเวทิสาเทวี บุตรีแห่งมหาเศรษฐีชาวแคว้นอวันตี ซึ่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสืบพระศาสนาภายใต้การดูแลของพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระพระเภราจารย์นักปราชญ์ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานสงฆ์สังคายนาพระธรรมวินัย ครั้งที่๓ ณ เมืองปาฏลีบุตร ต่อมาได้รับมอบหมายจากพระอุปัชฌาย์และพระราชบิดาให้เป็นสมณทูตนำคำสั่งสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่แลประดิษฐานที่ลังกาทวีปและตั้งวัดมหินตะเลขึ้น ต่อมาพุทธศาสนาลังกาวงศ์ได้เผยแพร่มายังเมืองนครศรีธรรมราชและเมืองสุโขทัยตามหลังพระโสณเถระและพระอุตรเถระที่เดินทางเข้ามาก่อนแล้ว